#1 tech recruiter in thailand

เมื่อฉันไม่ต้องการเป็น Software Developer อีกต่อไปแล้ว

บทความนี้เป็นการแชร์ประสบการณ์ชีวิตการทำงานของคุณ Melissa Mcewen ที่ได้เขียนไว้ในเว็บไซต์ Medium.com ซึ่งเป็นเรื่องราวของผู้หญิงคนหนึ่งที่รักในการ Coding แต่สุดท้ายเธอกลับไม่มีความสุขกับการทำงานใน Industry นี้เลย เพราะสาเหตุใด ถึงทำให้เธอไม่อยากเป็น Software Developer อีกแล้ว และสุดท้ายชีวิตของเธอจะลงเอยอย่างไร ทีมงานสรุปมาให้ดังนี้ครับ

Melissa เล่าว่าตั้งแต่ 10 ขวบ เธอรู้สึกชอบเวลาที่ได้เล่นคอมพิวเตอร์ของคุณพ่อของเธอ พอช่วงวัยรุ่นเธอก็ได้เป็น Game modder และ พัฒนาเว็บไซต์เป็นงานอดิเรก จนเธอเรียนจบก็เริ่มทำงานที่แรกในองค์กรไม่แสดงหาผลกำไรแห่งหนึ่ง ในช่วงนั้นเองเธอก็ได้รับการ offer จากบริษัทหนึ่งให้เป็น Web Developer ซึ่งเธอคิดว่าเป็นงานที่น่าตื่นเต้น และเธอก็น่าจะทำทุกอย่างได้เป็นอย่างดี

Melissa บอกว่า การมี Passion ถือเป็นสิ่งสำคัญและเป็นข้อได้เปรียบของคนที่อยากอยู่ใน Industry นี้ แต่มันก็มีสาเหตุว่าทำไมคนส่วนหนึ่งถึงดูไม่ค่อยเชี่ยวชาญในแวดวงนี้ ก็เพราะมีไม่กี่คนที่ทำมันอย่างมีความสุขจริงๆ ปัญหาก็คือ การ Coding เป็นงานอดิเรกกับการ Coding สำหรับการทำงานจริงๆ มันช่างแตกต่างกัน เพราะตอนทำงานจริง คุณไม่สามารถ Coding ตามใจตนเองได้ทุกอย่างเหมือนตอน Coding เป็นงานอดิเรก เธอคิดว่ามีหลายๆ สิ่งใน Industry นี้ดูจะคล้ายๆ กับส่วนหนึ่งในนวนิยายเรื่อง Snow Crash ซึ่งเขียนขึ้นในปี 1992 ซึ่งกล่าวถึงว่า โปรแกรมที่ถูกออกแบบมาแล้ว จะถูกแบ่งออกเป็นหัวข้อๆ แล้วถูกโยนไปให้แต่ละทีมที่เกี่ยวข้องรับผิดชอบ แล้ว Manager แต่ละทีมก็จะ assign งานไปให้ Programmer แต่ละคนทำเป็นส่วนย่อยๆ อีกที ด้วยวิธีนี้ทำให้ Melissa รู้สึกว่า  Developer ไม่มีโอกาสได้ใช้ความคิดสร้างสรรค์อะไรเลย มันเหมือนเป็นการทำงานผ่านระบบ CMS ขององค์กรเท่านั้น แต่เมื่อก่อนเธอเองก็พยายามหลอกตนเองว่ารู้สึกสนุกกับมันอยู่ เพราะมันเป็นสิ่งที่เธอรัก แต่สุดท้ายมันก็ไม่ใช่อยู่ดี

คราวนี้คุณอยากรู้เรื่องจริงหรือยังว่า Melissa เป็น Developer มืออาชีพได้อย่างไร? อันที่จริงเธอรับงาน Freelance หลังจากทำงานที่แรก และที่เธอทำงานเป็น Developer ก็เพราะมีค่าใช้จ่ายรักษาพยาบาลที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ มันยากสำหรับเธอและใครๆ อีกหลายคนที่จะนอน Admit ที่โรงพยาบาล เธอรู้ว่าสาเหตุที่คนอื่นๆ ทำงานเป็น Developer ก็เพื่ออยากมีประกันสุขภาพ หรือเพื่อช่วยเหลือคนในครอบครัวของพวกเขา แม้แต่ James Damore (วิศวกรที่ถูก Google ไล่ออกเมื่อไม่นานมานี้) ก็อ้างว่า ในแวดวงเทคโนโลยี ผู้หญิงดูจะมีคุณสมบัติที่เหมาะสมน้อยกว่า เพราะผู้หญิงมีความสนใจเรื่องเทคโนโลยีน้อยกว่า

“ แล้วถ้า Melissa ถูกล๊อตเตอรี่ เธอจะยังทำงาน Coding อยู่ไหม? แน่นอนว่าเธอจะยังคงทำอยู่ แต่จะเลือกใน Project ที่เธอชอบ และใช้เวลาทำงานที่น้อยลง ”

การเขียน Code แค่ 2-3 ชม.ต่อวันมันช่างต่างกับการเขียน Code 8 ชม.ต่อวันหรือมากกว่านั้น เมื่อกว่า 10 ปีที่แล้วก็มีสัญญาณเตือน Melissa เกี่ยวกับสุขภาพ คือ เธอมักจะปวดไมเกรนจากการทำงานเป็นเวลานาน แถมมีอาการปวดต้นคออย่างมาก จากนั้นก็พยายามทำทุกวิถีทางเพื่อรักษาและทำให้อาการดีขึ้น หาหมอแทบจะทุกสาขาที่เกี่ยวข้องทำให้เธอต้องจ่ายเงินไปนับหลายพันดอลล่าห์ แต่เธอก็ไม่บอกเรื่องนี้กับใครก็กลัวจะตกงาน เธอยังต้องทนทำงานทั้งที่ยังมีอาการเจ็บป่วย เธอไม่รู้เหมือนกันว่าการทำงานหามรุ่งหามค่ำมันดีต่อใคร แต่สำหรับเธอแล้วมันไม่ส่งผลดีต่อเธอเอาซะเลย

ย้อนกลับไปถึงสิ่งที่ James Damore กล่าวไว้ ถึงเรื่องการที่มีผู้หญิงทำงานในแวดวงเทคโนโลยี ก็เพราะมีกำหนดโควต้าไว้ให้เพียงเท่านั้น ไม่ใช่เรื่องความสามารถ Melissa บอกว่า มันค่อนข้างยากที่จะเห็นปฏิกริยาของคนอื่นจากเว็บไซต์ต่างๆ หรือแม้แต่เพื่อนของเธอก็ตาม ที่จริงมันก็ทำให้รู้สึกไม่ดีที่ได้ยินเรื่องนี้ แต่สำหรับ Melissa แล้วเธอรู้สึกเหนื่อยหน่ายกับความหลากหลายของโปรแกรมที่ต้องเจอและไม่เต็มใจที่จะทำงานหนักๆ แล้ว มันควรจะทำให้ Industry นี้ดีต่อผ้หญิงที่ทำงานด้วย แม้แต่ใน “วันสตรี” ซึ่งเป็นวันที่ผู้หญิงจะเรียกร้องเรื่องต่างๆ แต่เธอกลับพบว่า มีผู้ชายบางคนได้ขึ้นเงินเดือนถึง 20% จึงทำให้เกิดคำถามว่า ถ้าผู้หญิงได้เงินเดือนน้อยกว่า แล้วทำไมถึงไม่จ้างงานผู้หญิงเพื่อบริษัทจะได้ประหยัดค่าใช้จ่ายล่ะ? จากประสบการณ์ของเธอพบว่า บริษัทจ้างผู้หญิงให้ทำงานเพื่อสร้างภาพักษณ์ที่ดีให้องค์กร ในขณะเดียวกันพวกเขาก็จ่ายเงินให้ผู้หญิงน้อยกว่าผู้ชาย มันไม่ใช่เรื่องของโควต้าเลย

เคยมีคนถาม Melissa ว่าแล้วทำไมไม่เปลี่ยนไปทำงานอย่างอื่นที่ดีกว่าล่ะ? อันที่จริงเธอไม่เคยมีปัญหากับเรื่องนี้เลย เธอสามารถใช้และเรียนรู้เทคโนโลยีใหม่ๆ ได้อย่างง่ายดายและรวดเร็ว แต่ ณ จุดนี้เธอสูญเสียความปรารถนาที่จะอยู่ใน Industry นี้แล้วต่างหาก เพราะพวกเขาไม่ได้มองหาคนที่มี Passion เลย แต่มองหาคนที่ยินดีทำงานหลายๆ ชั่วโมงได้ พวกเขาไม่ได้มองหาคนที่ใช้เวลาในวันหยุดเพื่อทำ Open-Source Project แต่พวกเขาต้องการคนที่กลับถึงบ้านแล้วยังสามารถทำงานต่อได้ทั้งคืนต่างหาก

ข่าวดีก็คือ Melissa ถูกล๊อคเตอรี่ ทำให้เธอมีเงินมากพอที่จะตัดสินใจลาออกจากงานได้ ชีวิตของเธอคงจะไม่เดือดร้อนแม้เจอปัญหาอะไร รวมทั้งเธอสามารถอยู่และทำงานที่ฟาร์มกับครอบครัวได้ ตอนแรกเธออยากใช้เงินนี้สำหรับจ่ายค่าดาวน์บ้าน แต่ตอนนี้เธอตัดสินใจใช้มันทำในสิ่งอื่นๆ ที่เธอรัก คือการใช้เวลาที่ไม่มากนักในการ Coding อาการเจ็บป่วยต่างๆ ของเธอหายไปแล้ว และได้มีเวลาอยู่กับคนที่เธอห่วงใย

แล้วจากนี้ไป Melissa จะทำอะไรต่อไป? เธอไม่เคยหลอกตัวเองว่า การตัดสินใจแบบนี้อาจส่งผลกระทบต่อเส้นทางอาชีพของเธอ คนรอบข้างหลายคนเตือนเธอด้วยความเห็นห่วงเกี่ยวกับการตัดสินใจครั้งนี้ แต่ถ้าเธอกลับไปทำงานแบบเดิม เธอก็รู้ดีว่าบริษัทก็ยังเป็นเหมือนเดิมเช่นกัน Melissa ยังมีสิ่งอื่นที่อยากทำ และเธอก็มีทักษะมากพอ ซึ่งหวังว่าจะทำให้เธอได้ในสิ่งที่ต้องการ เธอฝันถึงโลกที่เราทุกคนจะทำงานน้อยลง ในขณะเดียวกันเธอจะยังคง Coding อยู่ เพราะบางทีเธออาจจะกลับมาสนุกกับมันอีกครั้งก็ได้ นอกจากนี้เธอพยายามหาจุดที่ลงตัวในชีวิตระหว่าง งานกับความต้องการด้านอื่นๆ ของเธออีกด้วย

ISM Technology Recruitment Ltd. (#1 Tech Recruiter in Thailand) บริษัทเราเชี่ยวชาญในธุรกิจ IT Recruitment & IT Outsourcing โดยเฉพาะ เปิดทำการกว่า 25 ปี มีพนักงานทุกสายและทุกระดับทางด้าน IT ที่ได้ร่วมงานกับลูกค้าองค์กรใหญ่ที่มีชื่อเสียงและบริษัทข้ามชาติมากมาย หากคุณเป็นคน IT ที่อยากทำงานที่ท้าทายและร่วมงานกับองค์กรชั้นนำ ฝากประวัติการทำงาน (Resume) ของคุณไว้กับ ISM ได้ที่ https://www.ismtech.net/submit-your-resume แล้วคุณจะพบว่าอนาคตและโอกาสก้าวหน้ามากมายกำลังรอคุณอยู่

Source: https://medium.com/

th