ปัจจุบันการว่าจ้างงานในรูปแบบ “สัญญาจ้าง หรือ Contract” ถือเป็นรูปแบบที่มีแนวโน้มเพิ่มมากขึ้น ซึ่งก็เป็นไปตามกระแสโลก กลุ่มคนไอทีถือเป็นสายอาชีพหนึ่งที่น่าจะคุ้นเคยกับงาน Contract อยู่บ้าง สาเหตุที่คนไอทีมีโอกาสทำงานลักษณะนี้ได้มากกว่าอาชีพอื่น เพราะโปรเจคงานไอทีเป็นงานที่ใช้เวลาพัฒนาโปรแกรมในช่วงต้นเป็นหลัก ซึ่งจะต้องเน้นปริมาณคนมากแต่ทำในเวลาที่จำกัด เมื่อเสร็จโปรเจคแล้วอาจจะใช้แค่ไม่กี่คนที่คอย Maintain ระบบหรือปรุงปรุงแก้ไขงานเล็กๆ น้อยๆ เท่านั้น แต่งาน Contract มักถูกมองว่าไม่มั่นคง แต่วันนี้ลองมาดูกันว่างาน Contract ที่ใครๆ ก็หาว่าไม่มั่นคงนั้น มีข้อดีอะไรบ้างที่เราอาจคาดไม่ถึง
1. รายได้สูง
เชื่อว่าคนไอทีส่วนใหญ่ น่าจะพอรู้อยู่บ้างแล้วว่า ลักษณะงานที่เป็น Contract นั้น มักจะไม่มีสวัสดิการจากองค์กรที่เป็นผู้ว่าจ้าง แต่สิ่งนั้นก็ไม่ได้หายไปไหน เพราะสวัสดิการเหล่านั้นถูกทดแทนด้วย รายได้ที่สูงกว่า ซึ่งหากจะเปรียบเทียบแล้ว พนักงานที่เป็นสัญญาจ้าง หรือเรียกว่า Contractor จะมีรายได้หรือเงินเดือนที่ “สูงกว่า” พนักงานประจำ หรือ Permanent ดังนั้น ใครที่อยากจะ Make Money อยากสร้างเนื้อสร้างตัวอย่างรวดเร็ว และ ปกติก็ไม่ค่อยได้ใช้/ไม่ค่อยสนใจพวกสวัสดิการของบริษัทอยู่แล้ว ลักษณะงาน Contract ก็น่าจะตอบโจทย์ได้มากกว่า
2. สามารถเพิ่มทักษะใหม่ๆ ให้ตัวเองได้
ด้วยลักษณะงานที่ทำแบบเป็นโปรเจคๆ ไป ทำให้ Contractor หลายๆ คน มีโอกาสได้เรียนรู้ทักษะใหม่ๆ เพิ่มเติม ไม่ว่าจะเป็น ภาษาคอมพิวเตอร์ที่เกี่ยวข้อง หรืออาจได้เรียนรู้ภาษาใหม่ๆ ไปเลยก็มี ทำให้เพิ่มความสามารถของคนไอทีให้มีความรู้และทักษะที่มีความหลากหลายมากยิ่งขึ้น เช่น คุณเคยทำโปรเจคที่ใช้ภาษา Java มา เมื่อมีโปรเจคใหม่ที่เป็น Mobile Dev. Android คุณก็สามารถเรียนรู้ต่อยอดงานได้อีก ถือเป็นการเพิ่มทักษะที่หลากหลายให้ตัวเองอีกด้วย
3. มีโอกาสได้เรียนรู้รูปแบบการทำงานกับบริษัทชั้นนำ/ข้ามชาติ
จะว่าไปแล้วองค์กรที่ใช้รูปแบบการจ้างงานลักษณะ Contract ส่วนใหญ่มักจะเป็นองค์กรที่เป็นบริษัทใหญ่ มีชื่อเสียง ค่อนข้างมีความมั่นคงสูง หรือ เป็นบริษัทข้ามชาติ ดังนั้น คนไอทีที่ทำงานลักษณะ Contract ก็มีโอกาสได้ทำงานร่วมกับองค์กรเหล่านี้ ซึ่งค่อนข้างมีโปรเจคงานที่ใหญ่ ระบบดี มีความชัดเจน ในขณะเดียวกันก็ได้มีโอกาสร่วมงานกับคนเก่งๆ มีความสามารถ หรือได้สื่อสารกับชาวต่างชาติอีกด้วย ลองคิดดูว่าเมื่อเราทำงาน นอกจากจะได้งานแล้วในขณะเดียวกันกลับได้ทักษะอื่นๆ พ่วงมาด้วย ทั้งภาษา ทั้งรูปแบบการทำงานที่เป็นมืออาชีพ แบบนี้ถือว่าเป็นกำไรที่ได้จากการทำงาน
4. มีโอกาสเติบโตแบบก้าวกระโดด
คำว่าเติบโตแบบก้าวกระโดดนี้ ไม่ได้หมายถึงทำงานได้ 1-2 ปีก็ได้เป็น Manager เลยทันที แต่เมื่อเทียบกับส่วนใหญ่แล้ว คนที่ทำงานแบบ Contract “มีโอกาส” ที่จะเติบโตในสายอาชีพได้รวดเร็วกว่า คำถามคือ เพราะอะไร ก็เพราะว่า ทั้งมีโอกาสได้เรียนรู้ทักษะที่ใหม่และหลากหลายกว่า ประกอบกับการได้เรียนรู้รูปแบบระบบการทำงานกับองค์กรใหญ่ๆ หรือองค์กรข้ามชาติ ดังที่กล่าวมาแล้วในข้อแรกๆ จึงทำให้คนไอทีที่ทำงาน Contract มาก่อน มีโอกาสที่จะได้ทำงานในตำแหน่งที่มี Level สูงขึ้นรวดเร็วกว่าคนที่ทำงานประจำทั่วไป
5. มีช่องทางและโอกาสในการหางานที่ง่ายกว่า
อย่างที่เกริ่นไปตอนต้นว่า องค์กรที่ใช้วิธีการจ้างงานแบบ Contract มักจะใช้บริษัท Recruitment ในการสรรหาบุคลากรให้ ดังนั้น คนไอทีจึงไม่ต้องกลัวว่า เมื่อจบโปรเจคแล้วจะไม่มีงานทำ คนไอทีที่เคยทำงาน Contract จะพอทราบดีว่าหลายๆ คนมีโอกาสปรับไปเป็นพนักงานประจำ บางโปรเจคก็เป็นลักษณะต่อสัญญากันไปเรื่อยๆ หรือแม้แต่จบโปรเจคจริงๆ บริษัท Recruitment ก็จะช่วยหางานโปรเจคอื่นๆ ให้ต่ออยู่แล้ว ซึ่งก็มีโอกาสได้เรียนรู้ภาษาใหม่ๆ หรือปรับตำแหน่งสูงขึ้นอีก
จะเห็นว่า อันที่จริงงาน Contract ก็มีข้อดีหลายอย่าง และบทความนี้ก็มิได้มีจุดมุ่งหมายที่จะบอกผู้อ่านว่า ลักษณะงานแบบไหนดีกว่ากัน เพียงแต่อยากสื่อสารในแง่มุมของแต่ละลักษณะงานซึ่งล้วนมีข้อดี/ข้อจำกัดซ่อนอยู่เสมอ เพราะมีบางอย่างที่หลายๆ คนอาจยังไม่ทราบหรือนึกไม่ถึงมาก่อนเท่านั้น ทีมงานเชื่อว่า ถ้าเรามองหรือค้นหาแง่ดีของเรื่องใดก็ตาม เราก็จะมีโอกาสที่หลากหลายเพิ่มมากขึ้น
ISM Technology Recruitment Ltd. (#1 Tech Recruiter in Thailand) บริษัทเราเชี่ยวชาญในธุรกิจ IT Recruitment & IT Outsourcing โดยเฉพาะ เปิดทำการย่างเข้าสู่ปีที่ 27 มีพนักงานทุกสายและทุกระดับทางด้าน IT ที่ได้ร่วมงานกับลูกค้าองค์กรใหญ่ที่มีชื่อเสียงและบริษัทข้ามชาติมากมาย หากคุณเป็นคน IT ที่อยากทำงานที่ท้าทายและร่วมงานกับองค์กรชั้นนำ ฝากประวัติการทำงาน (Resume) ของคุณไว้กับ ISM ได้ที่ https://www.ismtech.net/submit-your-resume แล้วคุณจะพบว่าอนาคตและโอกาสก้าวหน้ามากมายกำลังรอคุณอยู่