See the original English version of this article here
ในช่วงบรรยากาศวันพ่อ ทีมงานมีบทความดีๆ ของคุณพ่อนักไอทีท่านหนึ่ง ชื่อ Beau Carnes ซึ่งทำงานประจำ มีลูกเล็กๆ 2 คนที่ต้องช่วยดูแลกับภรรยา แถมยังเป็นอาสาสมัครในชุมชนด้วย แต่ภายในเวลา 1 ปี เขาสามารถเรียนจบปริญญาตรีใบที่ 2 และ สอบ IT Certification ผ่านถึง 5 ใบ(Oracle Java Certifications 2 ใบ, CompTia Certifications 2 ใบ, freeCodeCamp’s Front End Certification 1 ใบ) ซึ่งปัจจัยสำคัญ(มาก) ที่ทำให้เขาทำสำเร็จได้ก็คือ ภรรยาของเขา แต่ก็ยังมีปัจจัยอื่นๆ อีกที่ช่วยให้เขาผ่านสิ่งเหล่านี้มาได้ จะมีปัจจัยอะไรบ้าง และเขาทำได้อย่างไร ลองอ่านจากบทความนี้ได้เลยครับ
1. แรงจูงใจของคุณคืออะไร
หลังจากที่เป็นครูมา 5 ปี Beau ตระหนักว่าเขาไม่ต้องการเป็นครูไปตลอดชีวิต ที่จริงเขารักงานสอน แต่ก็ไม่ชอบการบังคับให้เด็กทำสิ่งที่พวกเขาไม่ต้องการทำ แถมยังรู้สึกเครียดกับงาน จนกลายเป็นคนไม่แยแสกับระบบการศึกษา อีกทั้งเหมือนจะเตรียมนักเรียนให้พร้อมกับงานที่อาจไม่มีอยู่ต่อไปอีกด้วย ที่จริง Beau เคยสนใจในการเขียน Code และบางครั้งก็สอนนักเรียนในเรื่อง Basic Coding เขาจึงตัดสินใจว่า ถึงเวลาแล้วที่จะเรียนรู้ให้มากขึ้นเพื่อที่จะทำงาน Full Time ได้ ซึ่งความต้องการงานใหม่ ถือเป็นแรงจูงใจที่สำคัญที่ช่วยผลักดันให้เขาอยากไปถึงเป้าหมาย
2. ต้องค้นคว้า เท่านั้น
สิ่งสำคัญ คืออย่าเร่งรีบในการเรียนรู้มากเกินไป Beau พยายามกำหนดวิธีการเรียนรู้อย่างดีที่สุดเพื่อตัวเองและครอบครัว ที่จริงเขารู้ว่ามีหลายวิธีที่จะเข้าสู่แวดวงเทคโนโลยีได้ แต่เขาก็ตัดสินใจเลือกวิธีเรียนปริญญาตรี โดยเขามองไปที่สถาบันหลายแห่ง แต่สุดท้ายก็ตัดสินใจเลือก Western Governors University ด้วยเหตุผลดังต่อไปนี้:
มันเป็น Online ไม่ต้องเสียเวลาเดินทาง ทำให้เขาใช้เวลากับครอบครัวได้
ทันทีที่เสร็จสิ้น assignments และการสอบ ใน Class หนึ่งแล้ว ก็สามารถเริ่มอีก Class ได้ทันที
ค่าใช้จ่ายไม่สูง ประมาณ 3,000 เหรียญ(99,000บาท) ต่อ 6 เดือน
เป็นที่เชื่อถือได้ ได้รับการรับรอง และได้รับการแนะนำโดย ประธานาธิบดีโอบามา และ บิลเกตส์
ในวุฒินี้ ได้รวมการรับรองและยอมรับใน Industry ซึ่งสิ่งนี้จะช่วยเพิ่มความน่าเชื่อถือให้วุฒิการศึกษาของเขา
3. เอาชนะเป้าหมายที่ทะเยอทะยาน
ตอนแรกเป้าหมายของ Beau คือ จบปริญญาตรีใน 1 ปี แต่หลังเข้าเรียนได้เดือนเดียว เขาก็ตัดสินใจที่จะเรียนให้จบใน 6 เดือนแทน ตัวช่วยที่สำคัญคือ การกำหนดตารางเวลาแต่ละวัน ที่เขาจะสามารถเรียนจบแต่ละ Class ให้เสร็จสิ้นภายใน 6 เดือน โดยควรจบแต่ละ Class ภายใน 1-3 สัปดาห์ ซึ่งวิธีนี้จะช่วยแบ่งเป้าหมายให้ย่อยลง เพื่อให้แน่ใจว่า เขาจะไม่ออกนอกแผนที่กำหนด การมีเป้าหมายที่ทะเยอทะยานถือเป็นสิ่งที่สำคัญ เพราะทำให้เขามีแรงจูงใจในการผลักดันตัวเอง
4. วางแผนตารางเวลาอย่างละเอียด
Beau ทำตารางเวลารายสัปดาห์อย่างรายละเอียด เพื่อช่วยให้เขามีเวลาในการเรียนรู้มากพอ โดยไม่ละเลยครอบครัวและความรับผิดชอบอื่นๆ เขากำหนดเวลาทั้งสำหรับ ครอบครัว งานอาสาสมัคร เพื่อน รวมทั้งภรรยา การมีตารางเวลาที่ละเอียด ช่วยให้เขามั่นใจได้ว่าชีวิตของเขายังคงสมดุล แต่มีสิ่งหนึ่งที่ไม่ได้ใส่ในตารางเวลาคือ เวลาสำหรับการดูโทรทัศน์ ซึ่งการมีตารางเวลาที่แน่นอนจะทำให้เขาสามารถบรรลุเป้าหมายได้ ดังนั้น จึงไม่มีเวลาสำหรับการดูโทรทัศน์ เพราะเวลาที่ใช้ในการดูโทรทัศน์ หมายถึง เวลาที่ให้กับครอบครัวน้อยลง ทำให้ตั้งแต่เรียนจบ เขาก็ยังคงจำกัดเรื่องการดูโทรทัศน์อยู่ ซึ่งช่วยให้เขาสามารถโฟกัสการเขียน Code ได้
5. เพิกเฉยต่อสิ่งที่ส่งผลด้านลบ
นักเรียนทุกคนที่ Western Governors University จะมี Mentor ส่วนตัว มีการพูดคุยกันทุกสัปดาห์กับ Mentor ของตนเองเพื่อช่วยในการติดตามผล ซึ่งทุกครั้งที่ Beau แชร์เป้าหมายกับ Mentor ดูเธอพยายามจะให้เขามีเหตุผลมากกว่านี้ Beau รู้ว่าเธอมีความตั้งใจดี แต่เขาก็ตัดสินใจที่จะเพิกเฉยต่อคำเตือนของเธอและหยุดพูดเรื่องเป้าหมายกับเธอ ทำให้เขาพบว่าบางครั้งมันก็ดีที่จะไม่บอกเป้าหมายกับคนบางคน หากพวกเขาไม่ได้ให้กำลังใจเรา
6. ใช้เวลาให้คุ้มค่ามากที่สุด
นอกเหนือจากเวลาที่กำหนดไว้สำหรับการเรียนรู้ด้าน Software Development แล้ว เขายังพกสมุดบันทึกไว้ในกระเป๋าเพื่อที่จะได้นำมาอ่านในช่วงที่มีเวลาว่าง อย่างช่วงพักเที่ยง อีกสิ่งหนึ่งที่ทำ(และยังคงทำอยู่) ก็คือ ใช้เวลากับ Class เรียนหรือ Project การ Coding ในช่วงวันที่ว่างจากการสอน ขณะที่จะจบแต่ละ Class เขาก็วางแผนวันหยุดเพื่อจัดตารางเวลา เพราะเขารู้ว่ายังมี Class ที่ยากๆ รออยู่ และเขาก็พยายามปรับเปลี่ยนตารางเวลาให้มีประสิทธิภาพมากที่สุดอยู่เสมอ เขาเคยใช้เวลาในการ Coding หลังจากลูกๆ นอนแล้ว แต่พบว่ารู้สึกเหนื่อยล้าเกินไป ทำให้เขาต้องเปลี่ยนตารางเวลาเข้านอนเป็น 3 ทุ่มและตื่นตอนตี 4 เพื่อ Coding (และสร้างวีดีโอ Training) นี้อาจดูบ้าไปสักหน่อย แต่ผลลัพธ์ที่ออกมามันก็ได้ผลดี
7. เรียนรู้จากสิ่งที่คนอื่นทำ
Beau ใช้เวลากับเว็บไซต์ Reddit และอ่านพวก Forum ต่างๆ เกี่ยวกับสิ่งที่คนอื่นๆ ทำ ซึ่งมีประโยชน์มากสำหรับเขา อันที่จริงก็มี Resource มากมายสำหรับคนที่อยากเรียนรู้ด้านนี้ ซึ่งช่วยทำให้เขาสามารถวางแผนให้เรียนจบได้เร็วยิ่งขึ้น การเรียนรู้จากผู้อื่นถือว่าเป็นสิ่งที่มีประโยชน์มาก ถ้าคุณเรียนรู้ในหลักสูตร FreeCodeCamp จะมีคนที่มีประสบการณ์ใน Community เต็มใจช่วยเหลือหรือให้คำแนะนำทั้งใน Forum และใน Chatroom อีกด้วย
8. ทำมันให้เสร็จ(ไม่ต้องรอให้ Perfect)
มีหลายครั้งที่ Beau เคยสงสัยว่ามันจำเป็นต้องใช้เวลาเพื่อทำ Project หรือเพื่อเรียนรู้ให้มากขึ้นหรือไม่ จากนั้นเขาก็คิดว่า คงไม่มีเวลามากพอหากต้องการทำมันให้เสร็จภายในเวลาที่ตั้งไว้ ซึ่ง Deadline ที่ตั้งไว้มันบังคับให้เขาต้องทำให้เสร็จก่อนที่จะรู้สึกว่าเขาพร้อมซะอีก เขาพบว่าการทำ Project ให้เสร็จมีความสำคัญมากกว่าการทำให้มันสมบูรณ์แบบ หากคุณคาดหวังว่าจะทำให้ทุกอย่างถูกต้องละก็ งานคุณจะไม่มีวันเสร็จง่ายๆ หรอก
9. กฏ 80/20
ในกฎ 80/20 ระบุว่าโดยทั่วไป ประมาณ 80% ของผลที่เกิดขึ้น เกิดจากต้นเหตุประมาณ 20% หากเทียบกับเรื่อง Software Development นั่นคือ ประมาณ 20% ของเนื้อหาที่เรียนรู้ จะมีสิ่งที่คุณสามารถนำไปใช้งานได้จริงประมาณ 80% ซึ่งมันช่วยให้คุณสามารถประหยัดเวลาไปได้มากถ้าคุณให้ความสำคัญกับสิ่งสำคัญกับ 20% นั้น เทคนิคคือหาว่า 20% ใดที่ควรโฟกัส และคุณสามารถนำไปประยุกต์ใช้ได้ในทุกๆ เรื่อง หากคุณเป็นคนที่จำไม่ค่อยเก่งสักเท่าไหร่ก็ลองเลือกจำในสิ่งที่สำคัญและจำเป็น เวลาทำ Project งาน อย่าลืมว่านายจ้างของคุณสนใจในตัว Project งานมากกว่าวิธีการเรียนรู้การ Coding เพราะมันจะช่วยให้คุณประหยัดเวลาไปได้มาก
10. มุ่งไปข้างหน้าเสมอ
หลังจากเรียนจบแล้ว Beau ไม่เคยหยุดที่จะเรียนรู้เลย เขาตระหนักถึงความสำคัญของ Project งาน ดังนั้น เขาจึงเข้า FreeCodeCamp และเริ่มต้นสร้าง Project เพื่อจะได้มี Portfolio ซึ่งเขาสามารถใช้กลยุทธ์ทั้งหมดที่ใช้ในขณะที่เรียนจนจบปริญญามาได้ และยังคงใช้กลยุทธิ์นี้เมื่อเขาตัดสินใจว่า จะเริ่มสร้างวีดีโอ JavaScript Training และเขาก็โพสต์วีดีโอดังกล่าวแทบจะทุกวันในช่อง YouTube ของ FreeCodeCamp และหากคุณอยากรู้ว่าเขาทำอย่างไรเพื่อให้เรียนจบในแต่ละ Class ตอนช่วงที่เรียนอยู่ สามารถไปดูได้จาก Blog นี้ และเขาก็หวังว่าผู้อ่านจะสามารถนำคำแนะนำเหล่านี้ไปประยุกต์ใช้ได้โดยเฉพาะอย่างยิ่ง คนที่ไม่ค่อยมีเวลามากนัก
ISM Technology Recruitment Ltd. (#1 Tech Recruiter in Thailand) บริษัทเราเชี่ยวชาญในธุรกิจ IT Recruitment & IT Outsourcing โดยเฉพาะ เปิดทำการกว่า 25 ปี มีพนักงานทุกสายและทุกระดับทางด้าน IT ที่ได้ร่วมงานกับลูกค้าองค์กรใหญ่ที่มีชื่อเสียงและบริษัทข้ามชาติมากมาย หากคุณเป็นคน IT ที่อยากทำงานที่ท้าทายและร่วมงานกับองค์กรชั้นนำ ฝากประวัติการทำงาน (Resume) ของคุณไว้กับ ISM ได้ที่ https://www.ismtech.net/submit-your-resume แล้วคุณจะพบว่าอนาคตและโอกาสก้าวหน้ามากมายกำลังรอคุณอยู่
Source: https://medium.freecodecamp.org/