See the original English version of this article here
บทความนี้เป็นแชร์ประสบการณ์ของคุณ Nazlican Kurt ที่เคยเกือบจะล้มเลิกการเรียน Coding มาก่อน และเชื่อว่าคงมีหลายที่ต้องการเข้ามาสู่ Industry นี้ แต่หลังจากเรียนหรือทำงานไปสักระยะก็เปลี่ยนไปทำงานในสายอาชีพอื่น และในบทความนี้จะมาบอกถึง 5 สาเหตุ ที่ทำให้หลายคน ล้มเลิกการเขียน Code
1. เข้าใจผิด คิดว่าใคร ๆ ก็เป็น Software Developer ได้ง่าย ๆ
พวกเราต่างรู้ดีว่า การมีความตั้งใจ เต็มใจเรียนรู้ และความกระตือรือร้นนั้น เพียงพอที่จะช่วยให้คุณเรียนรู้ทุกสิ่ง แต่มันก็ไม่สามารถใช้ได้ในทุกสถานการณ์
Computer มีโครงสร้างที่ซับซ้อน การเขียน Code ต้องใช้การคิดเชิงวิเคราะห์ แน่นอนมันทำให้เครียด จนบางครั้งคุณอาจนอนไม่หลับ คุณอาจต้องนั่งทำงานเป็นเวลานาน ๆ คงไม่มีใครที่สามารถการันตีว่า “คุณจะเป็น Software Developer ได้อย่างแน่นอน” หรอก ทางที่ดีที่สุดคือ คุณต้องถามตัวเองว่า คุณต้องการมันจริง ๆ ไหม
การเขียน Code ไม่ง่ายเหมือนการดูหนัง มันมีอะไรมากกว่าการแค่นั่งดูในหน้าจอ Computer เมื่อคุณเลือกแล้ว มีเพียงสิ่งเดียวที่ต้องทำก็คือ เริ่มต้นใหม่เรียนรู้ พยายามอยู่กับมัน และต้องเรียนรู้อยู่เสมอ
ในความเป็นจริง
ถ้าการเขียน Code มันทำได้ง่ายขนาดนี้ ทุกคนคงสามารถเรียนรู้การเขียน Code ได้ภายใน 1 เดือนแล้ว ตอนนี้ COVID-19 เปลี่ยนชีวิตเราไปโดยสิ้นเชิง อาจมีบางคนที่เริ่มสนใจเรียนรู้วิธีการเขียน Code ถ้าคนเหล่านั้นเริ่มต้นงานสายนี้เพราะเรื่องเงินอย่างเดียว ลองคิดว่า พวกเขาจะสามารถเรียนรู้การเขียน Code ได้อย่างรวดเร็วและสำเร็จทุกคนไหม?
การเขียน Code ต้องใช้ความอดทนและความขยัน บางครั้งคุณต้องใช้เวลาหลายชั่วโมงหรือหลายวัน บางวันแค่ Errors เล็กน้อยก็อาจใช้เวลาหลายชั่วโมงในการแก้ไข การแก้ปัญหาต้องใช้ความอดทน ความต่อเนื่องเป็นสิ่งสำคัญ ถ้าคุณไม่ฝึกฝนมันทุกวัน ก็ไม่ใช่เรื่องง่ายที่คุณจะแก้ปัญหาได้ ความอดทนมีความสำคัญพอ ๆ กับการเริ่มต้นที่ถูกต้อง
2. ชอบเปรียบเทียบตัวเองกับคนอื่นตลอดเวลา
สิ่งที่หลายคนมักทำอยู่เสมอก็คือ การเปรียบเทียบตัวเองกับผู้อื่นอยู่ตลอดเวลา หากคุณทำแบบนี้ในสายอาชีพนี้ คุณก็อาจจะพบกับความเจ็บปวดในภายหลังได้ เช่น บางคนก็ชอบเปรียบเทียบ สถาบันการศึกษาที่เรียนจบด้านไอทีมา ว่า สถาบันใครดีกว่ากัน เป็นต้น
ในความเป็นจริง
เพื่อยุติวงจรของการเปรียบเทียบตัวเองกับผู้อื่น เราต้อง Focus ที่ตัวเองเป็นหลัก เราจำเป็นต้องค้นหาจุดแข็งของเราและพยายามปรับปรุงให้ดียิ่งขึ้น
บางคนก็สามารถเรียนรู้ได้ภายในหนึ่งวัน บางคนอานใช้เวลาเป็นปี อาจมีบางคนที่ยอมแพ้และไม่คิดเรียนรู้เลย เราควรยอมรับว่า เราทุกคนล้วนมีความแตกต่าง และเราควรรักตัวเอง นั่นคือทางออก จงคิดเสมอว่า พวกเราทุกคนล้วนแตกต่างกัน
3. หากเป้าหมายและเหตุผลที่เริ่มลงมือทำ ของคุณยังไม่ชัดเจน แสดงว่า คุณเริ่มยอมแพ้
หากคุณไม่ได้เรียนรู้ที่จะเขียน Code อย่างมีเป้าหมาย ก็อาจจะหลงทางในเรื่องที่ลึกซึ้งกว่า เป้าหมายนี้ไม่เพียงอยู่ภายใน Project แต่อาจเป็นเป้าหมายชีวิตได้อีกด้วย บางคนอาจไม่รู้ว่าจะเริ่มเขียน Code จากตรงไหน และไม่รู้ว่าจะสนใจเรื่องไหนดี
บางคนอาจมีคำถามและการตัดสินใจที่ไร้เป้าหมาย เช่น “เราควรเรียนรู้ Mobile ไหม? จากนั้นจะเรียนรู้ Java ต่อ” หรือ “เราควรเป็น Web Developer ดี? แต่ไม่ได้สิ เรายังไม่มีความรู้ HTML/CSS เลย” หรือ “Data Science ก็มีอนาคตและกำลังรุ่ง ดังนั้น เราน่าจะเรียน Python นะ” ซึ่งพวกเราคงไม่พบคำตอบจากคำถามของพวกเขาหรอก
สถานการณ์อย่างนี้อาจทำให้คุณรู้สึกเหมือนกำลังจมน้ำ คุณกำลังกลับไปที่จุดเริ่มต้น ในขณะที่ตั้งคำถามเหล่านี้กับตัวคุณเอง
ในความเป็นจริง
การเริ่มฝึกงานที่บริษัท จะช่วยให้คุณเห็นความคืบหน้าของสิ่งต่าง ๆ คุณอาจจะลองฝึกงานโดยที่ยังไม่ต้องคาดหวังเรื่องเงินเดือน (แต่คุณน่าจะสามารถหาเงินจากมันได้) หากคุณได้พบกับคนที่มีความสามารถ ความสับสนของคุณอาจจะหายไปในไม่ช้า
อย่างคุณ Nazlican เองก็เคยฝึกงานที่บริษัทหนึ่ง ซึ่งเขาก็ได้เรียนรู้เทคโนโลยีบางอย่าง แม้ว่าในตอนแรกจะสับสนไปบ้าง แต่เมื่อเวลาผ่านไป เขาก็ตระหนักว่า การพัฒนา Project นั้นมีค่ามากแค่ไหน อย่างตอนนี้เขาเองกำลังทำงานเกี่ยวกับเรื่อง ๆ หนึ่งในบริษัท ซึ่งบางอย่างก็เริ่มชัดเจนขึ้นเมื่อเขาทำงานมันเป็นประจำ
4. ซื้อ Courses มากมายแต่ไม่เข้าไปเรียน และ ดูวิดีโอเยอะแยะแต่ไม่ฝึกทำจริง
คุณ Nazlican ตระหนักว่า เขาไม่เคยมองย้อนกลับไปยัง Courses ที่เขาเคยซื้อเลย ไม่ว่าจะเป็น Ethical Hacker, Java, PHP, Python, JS และอื่น ๆ อีกมากมาย เมื่อเขาซื้อ Courses ต่าง ๆ เหล่านี้ เขาคิดว่าเขาน่าจะเรียนรู้พวกมันได้ทั้งหมด แต่ความเป็นจริงคือ เราไม่สามารถเรียนรู้ทุกอย่างได้ทั้งหมดภายใน 1 เดือน เราต้องการใช้เวลากับมัน
คนที่ยอมแพ้ จะรู้ถึงปัญหาข้อนี้เป็นอย่างดี คุณเขียน Code หรือไม่ได้เขียนเลย ตอนที่คุณได้ดูวิดีโอต่าง ๆ ถ้าไม่ คุณจะพบว่า คุณแทบจะจำอะไรไม่ค่อยได้เลย เหตุผลก็เพราะ คุณขาดการฝึกฝน วิธีที่ดีที่สุดในการเรียนรู้สิ่งต่าง ๆ ก็คือการทำมันซ้ำ ๆ เราจะไม่สามารถเรียนรู้สิ่งต่าง ๆ ได้ดี ถ้าเราไม่กลับไปยังจุดที่เราเคยละเลยมัน
ในความเป็นจริง
ถ้าคุณทำสิ่งต่าง ๆ อย่างต่อเนื่องและถ้าคุณเริ่มจากพื้นฐานแล้วขยายมันออกไปเรื่อย ๆ คุณก็จะได้เรียนรู้ การฝึกฝน, การดู Code ที่คนอื่นเขียน และทำอย่างต่อเนื่อง เป็นสิ่งที่คุณควรทำเมื่ออยู่ในสายอาชีพนี้ นอกจากนี้ เมื่อคุณจะซื้อ Courses เราต้องดูว่า มันมีคุณภาพดีหรือไม่ เราควรเข้าไปดูใน Forums และถามคำถามอื่น ๆ กับคนอื่นเพิ่มเติม
5. ง่ายมากที่คุณจะล้มเลิก เมื่อเพื่อนร่วมงาน ไม่เชื่อในตัวคุณและบั่นทอนกำลังใจของคุณ
มีโอกาสเป็นไปได้ที่พวกเราจะมีเจ้านายหรือเพื่อนร่วมงานแปลก ๆ ความขัดแย้งมักจะเกิดขึ้นเมื่อต้องทำงานกับบุคคลที่หลากหลายในบริษัทต่าง ๆ นี่ถือเป็นเรื่องดีสำหรับคนที่ชอบความท้าทาย มีบทเรียนที่มีค่ามากมายที่คุณจะได้เรียนรู้จากสภาพแวดล้อมที่แย่ ๆ ขณะเดียวกันเราควรต้องเปิดใจรับฟัง Feedback ด้วย แม้ว่ามันจะเป็ Feedback ที่ไม่ดีนัก การคำนึงถึงสิ่งเหล่านั้นและปรับปรุงจุดอ่อนของเรา จะช่วยนำพาเราไปสู่ความกว้าหน้าได้
ในความเป็นจริง
การมีพลังงานในการทำงาน ถือเป็นสิ่งสำคัญลำดับแรก ๆ ในชีวิตของเรา เพราะเมื่อเรามีพลังในการทำงานสูง เราก็จะมองชีวิตในแง่บวกมากขึ้น มีสุขภาพดีขึ้น มีความสัมพันธ์ที่ดีขึ้น เป็นประโยชน์ต่อผู้คนมากขึ้น ทำงานสำเร็จและมีความสุขมากขึ้น
อย่าเพิ่งโต้เถียงและต่อต้านคนที่ทำให้คุณรู้สึกเหนื่อย อย่ารู้สึกผิดหวังในตัวเอง อย่าทำให้ตัวเองเหนื่อยเกินไป แล้วจากไปอย่างเงียบ ๆ หากรู้สึกว่า อยู่ใกล้กับคนหรือเรื่องลบ ๆ มากเกินไป ก็ให้รักษาระยะห่างกับคนหรือสิ่งเหล่านั้น
ISM Technology Recruitment Ltd. (#1 Tech Recruiter in Thailand) เราเชี่ยวชาญในธุรกิจ IT Recruitment & IT Outsourcing โดยเฉพาะ เปิดทำการมา 30 ปี มีพนักงานทุกสายและทุกระดับทางด้าน IT ที่ได้ร่วมงานกับลูกค้าองค์กรใหญ่ที่มีชื่อเสียงและบริษัทข้ามชาติมากมาย
หากคุณเป็นคน IT ที่อยากทำงานท้าทายและร่วมงานกับองค์กรชั้นนำ สามารถฝากประวัติการทำงาน (Resume) ของคุณไว้กับ ISM ได้ที่ https://www.ismtech.net/submit-your-resume แล้วคุณจะพบว่าอนาคตและโอกาสก้าวหน้ากำลังรอคุณอยู่
Source: https://betterprogramming.pub/