See the original English version of this article here
เมื่อวันเวลาเปลี่ยน อะไร ๆ ก็เปลี่ยนแปลง สำหรับเมื่อก่อน หากคุณได้ทำงานในบริษัทดี ๆ ก็ถือว่าโชคดีมาก และอาจจะทำงานที่บริษัทนั้นไปจนเกษียณ แต่สำหรับปัจจุบัน การเปลี่ยนงานถือเป็นเรื่องปกติมาก โดยเฉพาะสำหรับ Software Engineer ซึ่งในบทความนี้ คุณ Axel Dietrich (Software Developer) จะมาบอกว่า ถึงเวลาแล้วหรือยัง? ที่คุณควรย้ายงาน ในฐานะ Software Engineer
1. เมื่อคุณ “หยุดเรียนรู้”
ถ้าหากคุณรักและสนุกในสิ่งที่คุณทำ คุณคงอยากพัฒนาตนเองให้ดีขึ้นในทุก ๆ วัน สิ่งที่คุณจะให้ความสำคัญมากที่สุด คือ การเรียนรู้ (ถูกต้องไหม?) ซึ่งในบางครั้งคุณอาจจะรู้สึกว่า คุณไม่ได้พัฒนา Hard Skills เลย แต่แน่นอนว่า คุณกำลังฝึก Soft Skills ที่สำคัญมาก ๆ อยู่ ดังนั้น Hard Skills และ Soft Skills ก็ถือเป็นการเรียนรู้ แต่! ถ้าเมื่อใดคุณรู้สึกว่า คุณต้องทำงานเดิม ๆ ซ้ำ ๆ และรู้สึกว่าสิ่งที่ทำอยู่นั้น ไม่ได้ทำให้คุณรู้สึกท้าทายอีกต่อไป หรือเริ่มรู้สึกเบื่อ นั้นอาจหมายความว่า ถึงเวลาที่คุณควรเปลี่ยนงานหรือย้ายงานแล้ว เพราะเมื่อใดที่คุณอยู่ในที่ที่ไม่มีความท้าทายนานเกินไป อาจทำให้การพัฒนาและการเรียนรู้ของคุณหยุดชะงักได้
2. สภาพแวดล้อมการทำงาน “เป็นพิษ”
คุณ Axel Dietrich ได้ยกตัวอย่างประสบการณ์ตรงของเขา
“ณ ตอนนั้น ผมเพิ่งย้ายงานมาที่ใหม่ และผมขอยกให้เป็นสถานที่ทำงาน ที่เลวร้ายที่สุดเท่าที่ผมจะจินตนาการได้ เริ่มแรกพวกเขาให้คำสัญญากับผมว่า จะได้ทำงานใน Technologies และความท้าทายใหม่ ๆ ซึ่งขณะนั้น พวกเขากำลัง Migrate System ทั้งหมด ไปยัง Microservices (ซึ่งส่วนตัวผมจะให้ความสำคัญอย่างมาก กับการที่ได้เรียนรู้สิ่งใหม่และได้พัฒนาตนเอง) คุณเชื่อไหมว่า 2 – 3 วันแรกผ่านไป สิ่งที่ผมได้ทำคือ ต้องจัดการกับภูเขาน้ำแข็งขนาดใหญ่ ซึ่งมี Java Classes ความยาว 20,000 บรรทัด ตอนนั้นผมคิดว่ามันอาจจะช่วยให้ผมได้พัฒนาตนเอง และได้ศึกษา Business Knowledge ดังนั้น ผมจึงพยายามทำงานที่ได้รับมอบหมายทุกงานให้สำเร็จ
หลังจากนั้น 2 เดือน ผมได้พบกับ Head of Engineering Division เนื่องจากเขาต้องการแสดงความยินดีกับ Performance ของผม และผมจึงขอให้เขามอบหมายงาน Developments ใหม่ให้กับผม (คุณคิดว่าเขาจะตอบผมว่าอะไร?) เขาตอบว่า ทีมที่รับผิดชอบงาน Developments และ Migrate นั้นเต็มหมดแล้ว และไม่สามารถสับเปลี่ยนคนได้แล้ว ณ วินาทีนั้น ผมรู้สึกว่านี่มันหลอกกันชัด ๆ
และที่กล่าวมานั้น เป็นเพียงส่วนปลายของภูเขาน้ำแข็งเท่านั้น เพราะผมต้องอดทนฟังคำพูดที่พวกเขาพูดดูถูกผู้หญิง และเอาเรื่องของผู้หญิงมาพูดกันเป็นเรื่องตลกแทบทุกวัน แม้กระทั่งการล่วงละเมิดทางเพศก็ยังถูกมองข้ามไป เพราะมีผู้ชายในบริษัทคนหนึ่ง โดนร้องเรียนเรื่องการล่วงละเมิดทางเพศถึง 2 ครั้ง แต่ยังคงสามารถทำงานอยู่ที่นั่นได้ เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น มันแย่มากใช่ไหมล่ะ? หรือหากคุณไปออฟฟิศสายเพียง 10 นาที คุณก็จะโดนตัดเงินเดือน”
และทั้งหมดนี้เป็นเพียงตัวอย่างที่คุณ Axel Dietrich เจอ (หลังจากทำงานได้เพียง 3 เดือน เขาก็ตัดสินใจลาออก โดยที่ยังไม่ได้หางานใหม่เลย) ซึ่งถ้าคุณกำลังเจอกับ สภาพแวดล้อมการทำงานที่เป็นพิษ ก็อาจถึงเวลาที่คุณจะลองเปิดโอกาสให้ตัวเองแล้วแหละ
บทความแนะนำ Microservices คืออะไร และสำคัญอย่างไรต่อองค์กร คลิกอ่านเลย
3. เหตุผลทาง “การเงิน”
เราทุกคนล้วนมีค่าใช้จ่าย ไม่ว่าจะเป็นค่าใช้จ่ายสำหรับตัวเราเอง ครอบครัว และอื่น ๆ ถึงแม้ว่าค่าตอบแทนที่คุณได้รับจะเพียงพอสำหรับสิ่งเหล่านี้ แต่การใช้ชีวิตนั้น มีสิ่งที่ต้องการมากกว่า การทำงานเพื่ออยู่รอด ใช่ไหมล่ะ? ดังนั้น คุณสามารถมีงานที่ดี และได้รับค่าตอบแทนที่มากกว่าเดิมหรือที่เหมาะสมกับคุณ ซึ่งแน่นอนว่า การที่ได้ทำงานที่คุณรักนั้น เป็นสิ่งที่ดีมาก แต่หากงานนั้น ไม่สามารถตอบโจทย์ชีวิตในแบบที่คุณต้องการได้ อาจถึงเวลาที่คุณต้องเปลี่ยนงาน หรือหาโอกาสในการก้าวหน้าสำหรับอาชีพการงานของคุณแล้วแหละ
4. “โอกาส” ในการก้าวหน้า
ในการทำงาน สิ่งที่สำคัญอีกอย่างหนึ่ง คือ “โอกาสในการก้าวหน้า” ซึ่งหากคุณทำงานในบริษัทยักษ์ใหญ่ ส่วนมากแล้ว บริษัทจะมี วัตถุประสงค์ และ Career Roadmap ที่ชัดเจนให้กับคุณ และหากคุณสามารถทำตามเป้าหมายที่บริษัทคาดหวังได้ คุณก็จะได้เลื่อนตำแหน่งหรือได้สิ่งตอบแทนที่คุ้มค่า (แต่หากคุณอยู่ในบริษัทขนาดเล็ก คุณอาจจะไม่ได้อะไรเลย แต่ทั้งหมดก็ขึ้นอยู่กับแต่ละบริษัท) เช่น หากคุณอยู่ในบริษัทขนาดใหญ่ สิ่งที่คุณต้องทำอาจจะเป็น การที่ต้อง Maintain Low Response Time และ Low Error Rate บน Microservices ซึ่งจะมี Requests เป็นล้านต่อนาที เป็นต้น และแน่นอนว่า สิ่งยกตัวอย่างมานั้น จะมาพร้อมกับความเครียดและความกดดัน แต่มันจะสามารถช่วยให้คุณได้พัฒนา Skills และเพิ่มโอกาสในการก้าวหน้าอย่างแน่นอน
แต่หากบริษัทที่คุณกำลังทำอยู่นั้น “ไม่มี” โอกาสในการก้าวหน้า ให้กับคุณเลย ก็อาจถึงเวลาที่คุณควรให้โอกาสใหม่ ๆ กับตัวคุณเอง
บทความแนะนำ บทสัมภาษณ์ของ Kevin Wylie กับประสบการณ์ทำงาน Data Engineer ที่ Netflix กว่า 10 ปี
5. คุณรู้สึก “ไม่สบายใจ”
เป็นเรื่องปกติที่บางครั้ง เมื่อได้เปลี่ยนที่ทำงานหรือเปลี่ยนทีมใหม่ คุณจะรู้สึกว่าไม่สามารถเข้ากับทีมหรือหัวหน้าใหม่ได้ (ถึงแม้จะพยายามแล้วก็ตาม) ซึ่งไม่ใช่เรื่องผิดอะไร และมันสามารถเกิดขึ้นได้ สำหรับบางบริษัทคุณสามารถขอย้ายไปอยู่ทีมอื่นได้ หรือขอย้ายตำแหน่งได้ แต่หาก “ไม่ได้” และคุณคิดว่า “ไม่สามารถทนได้อีกต่อไป” ก็อาจถึงเวลาที่คุณต้องบอกลาแล้ว
6. สวัสดิการ
สำหรับตำแหน่ง IT นั้น สวัสดิการ เป็นอีกหนึ่งข้อที่สำคัญ และมักจะเป็นส่วนหนึ่งของ Compensation Package ซึ่งบางบริษัทจะมีสวัสดิการที่น่าสนใจมากเสนอให้กับคุณ (ได้มากกว่าอีกบริษัทหนึ่ง) แต่สุดท้าย มันก็ขึ้นอยู่กับคุณนั้นแหละ ว่าคุณจะให้ความสำคัญกับ สวัสดิการ มากแค่ไหน เช่น บางคนอยากได้วันหยุดพักร้อนที่มากขึ้น เพราะอยากท่องเที่ยวหรือได้ใช้เวลากับครอบครัว คุณก็ลองเปรียบเทียบและตัดสินใจได้เลย ว่ามันตอบโจทย์ในสิ่งที่คุณต้องการหรือไม่
7. สร้าง Startup
vเมื่อคุณมีความฝันบวกกับความทะเยอทะยานที่แรงกล้า การสร้าง Startup ก็เป็นอีกหนึ่งเหตุผลที่เจ๋ง ในการลาออกจากงาน (หากคุณมีเงินเก็บ ที่สามารถอยู่ได้โดยไม่ต้องพึ่งเงินเดือน หรือมีแหล่งรายได้อื่น) ก็เดินหน้าต่อไปได้เลย จริง ๆ แล้วสิ่งนี้ก็เป็นความฝันของคนส่วนมากเลยแหละ ที่จะได้มีบริษัทเป็นของตัวเอง และสามารถทำงานเพื่อสานความฝันของตัวเองแทนที่จะทำให้คนอื่น (อาจจะสร้าง Startup สำหรับ SaaS หรือ บริษัท Software ก็เข้าท่าอยู่นะ)
บทความแนะนำ คัมภีร์ สร้าง Startup แบบ Solo Developer คลิกอ่านเลย
8. เมื่อ “Side Hustle” สามารถทำเงินได้มากกว่า “งานประจำ”
Side Hustle ถือเป็นตัวเลือกที่ดีในการหารายได้ เช่น YouTube Channel, เขียนและขาย E-book, สอนและขาย Course, ทำ Freelance หลังเลิกงาน หรือเขียนบทความ บน Medium และหากวันหนึ่ง Side Hustle ที่คุณทำเกิดเติบโตจนสามารถสร้างรายได้ให้คุณมากกว่างานประจำ แล้วล่ะก็…อาจถึงเวลาที่คุณต้องลาออกจากงานและมาทุ่มเท พร้อมกับใส่ความพยายามทั้งหมดของคุณ ให้กับ Side Hustle ของคุณแทน เพื่อพัฒนาให้ดีขึ้น (หรือบางคนจะไม่ลาออก และทำ Side Hustle ไปด้วย ก็ได้นะ ขึ้นอยู่กับความต้องการของคุณ)
9. Freelancer
บางคนอาจจะไม่ชอบเป็นลูกจ้างหรือพนักงานบริษัท เพราะรู้สึกว่าไม่มีอิสระ และไม่สามารถจัดตารางทำงาน วันหยุด หรือวันพักผ่อนได้อย่างเต็มที่ แน่นอนว่าการเป็นพนักงานบริษัท ก็มีทั้งข้อดี-ข้อเสีย (ขึ้นอยู่กับความต้องการของแต่ละบุคคล) แต่หากการเป็นพนักงานบริษัทนั้น ไม่สามารถตอบโจทย์ความต้องการของคุณได้อีกต่อไป การเป็น Freelancer อาจเป็นอีกหนึ่งตัวเลือกที่ดีสำหรับคุณ โดยช่วงเริ่มต้น คุณอาจสร้าง Portfolio โดยคิดราคาไม่สูงนัก ถือเป็นการสร้างประสบการณ์ และเก็บ Connection ไว้ด้วย ซึ่งเมื่อถึงเวลาลูกค้าจะนึกถึงคุณเอง (หรือคุณสามารถเริ่มทำเป็น Side Hustle ได้ และเมื่อวันหนึ่งที่คุณมีลูกค้ามากขึ้น และมีงานเข้ามาอยู่ตลอด ก็อาจถึงเวลาที่คุณต้องลาออกเพื่อเป็น Freelancer เต็มตัว)
10. Work-Life Balance
สุดท้าย คือ Work-Life Balance ถ้าถามว่างานที่ดีที่สุดคืออะไร แต่ละคนคงมีคำตอบไม่เหมือนกัน แต่งานที่เหมาะกับคุณนั้น (อาจเป็นคำตอบที่ใช้ได้กับทุกคน) นั้นคือ งานที่สามารถตอบโจทย์ชีวิตในแบบที่คุณต้องการ ได้ ซึ่งแน่นอนว่า มันขึ้นอยู่กับการให้ลำดับความสำคัญของแต่ละบุคคล เช่น
-
- บางคนต้องการ งานที่ได้ค่าตอบแทนสูง และมีโอกาสในการก้าวหน้าสูง (แต่ก็อาจมาพร้อมกับความเครียด)
- บางคนต้องการ ชีวิตแบบสบาย ๆ โดยไม่ต้องมีความท้าทายมากนัก
- บางคนต้องการ มีเวลามากขึ้น เพื่อใช้เวลากับคนรักและครอบครัว หรือต้องการมีเวลาว่างมากขึ้น
- บางคนต้องการ วันหยุดที่มากขึ้น เพื่อทำตามฝัน ได้ท่องเที่ยว หรือทำในสิ่งที่รัก
ไม่ว่าคุณต้องการมีชีวิตแบบไหน คุณสามารถเลือกได้ด้วยตัวคุณเอง และอย่าลืมให้ ISM Technology Recruitment เป็นอีกหนึ่งตัวช่วย ให้คุณได้ “ชีวิตการทำงานในแบบที่คุณต้องการ”
และทั้งหมดนี้ คือบทความ ถึงเวลาแล้วหรือยัง? ที่คุณควรย้ายงาน ในฐานะ Software Engineer จากคุณ Axel Dietrich หากคุณต้องการสมัครงาน IT สามารถส่ง Resume ของคุณมาได้ที่ https://www.ismtech.net/submit-your-resume
ISM เชี่ยวชาญในธุรกิจ IT Recruitment & IT Outsourcing โดยเฉพาะ เปิดทำการมากว่า 30 ปี มีพนักงานทุกสายและทุกระดับทางด้าน IT ที่ได้ร่วมงานกับลูกค้าองค์กรใหญ่ที่มีชื่อเสียงและบริษัทข้ามชาติมากมาย